รับมือยังไงเมื่อต้องเจอกับ "ความเครียดมือสอง" ที่คนรอบข้างเอามาฝาก

อ่าน 8,605

ฝนตก รถติด เพื่อนบ้านส่งเสียงดัง ลืมวันเกิดเพื่อนสนิท ไฟฟ้าถูกตัด ปัญหาจิปาถะที่รายล้อมอยู่รอบตัวเราล้วนก่อให้เกิดความเครียดได้ทั้งสิ้น หากเราไม่รู้จักวิธีผ่อนคลายความเครียด รับรองว่าจิตใจและสมองต้องอ่อนล้าไปกับปัญหาในชีวิตประจำวันแน่นอน ความเครียดที่เกิดจากปัญหาของตัวเราเองที่ว่าหนักหนาแล้วยังไม่เท่าไร เรายังต้องประสบพบเจอกับ "ความเครียดมือสอง" ที่คนรอบข้างเอามาฝากอีกด้วย

"ความเครียดมือสอง" คืออะไร? หลายคนอาจไม่เข้าใจ แต่หากนึกย้อนไปในเหตุการณ์ที่เพื่อนสนิทมาเล่าปัญหาชีวิตและขอคำปรึกษา คุณก็จะรู้สึกเห็นใจและคิดว่าปัญหานั้นเป็นของตัวคุณเอง ทั้งที่จริงแล้วไม่ใช่เลย เรื่องราวแบบนี้คิดว่าคนที่ถูกเรียกว่าศิราณีหรือคนที่เป็นผู้ฟังที่ดีอาจประสบบ่อย เนื่องจากเพื่อนๆ มักนำปัญหามาเล่าให้ฟัง ซึ่งหากคุณสามารถปล่อยวางปัญหานั้นได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่หากเราเก็บเอาเรื่องราวเหล่านั้นมาครุ่นคิดจนเครียด เราอาจกลายเป็นคนที่ต้องแบกรับกับปัญหานั้นซะเอง นี่แหละค่ะ ที่เรียกว่า "ความเครียดมือสอง"

เมื่อรู้แบบนี้แล้วก็อย่ารอช้าเลยค่ะ รีบมาผ่อนคลายความเครียดมือสองด้วยวิธีต่อไปนี้กันดีกว่า เพราะปัญหาของคนอื่นก็คือปัญหาของคนอื่น เราจะเอามาเครียดทำไม ลำพังงเรื่องของตัวเองก็แก้ไม่ค่อยจะไหวอยู่แล้ว เราทำได้ดีทุ่ดแค่เพียงรับฟัง และคอยให้กำลังใจก็พอ ถ้าใครที่คิดว่าทำได้ยาก ลองเอาวิธีเหล่านี้ทำดูได้ค๊า!!

>> ปล่อยวางกับเรื่องราวที่ได้ยินมา <<

อย่าลืมว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่มีปัญหา ทุกคนต้องเจอปัญหากันทั้งนั้นอยู่ที่ว่าจะเจอปัญหาเล็กหรือใหญ่ แล้วเชื่อเถอะค่ะว่าปัญหาของใครคนคนนั้นย่อมรู้หนทางแก้ไขในวิธีการของตัวเอง การที่มีเพื่อนหรือคนรู้จักมาปรึกษาปัญหากับเรา เขาอาจเพียงแค่อยากได้ที่ระบาย ที่ปรับทุกข์เท่านั้น เราก็เพียงแค่รับฟัง แต่ไม่ควรเอาปัญหาของคนอื่นมาขบคิดจนเหมือนเป็นปัญหาของตัวเอง เพราะยิ่งคุณเอามาคิดมากเท่าไรคุณก็จะยิ่งเครียดมากขึ้นเท่านั้น และจะทำให้ชีวิตไม่มีความสุข บางคนเก็บเอาคำพูด หรือสิ่งที่เพื่อนเล่ามาคิดจนลืมตัวคิดว่าสิ่งที่คนอื่นเจอเป็นเรื่องราวของตัวเอง

เลิกนะคะ ปล่อยวางลงซะ เค้าเล่าเราก็ฟัง อะไรที่เคยมีประสบการณ์มาก็บอกเค้าให้เอาไปปรับใช้ดู บอกไปแล้วเค้าจะทำตามหรือไม่ทำนั่นก็เป็นสิทธิ์ของเค้าค่ะ

ต้องควบคุมอารมณ์ไม่ให้คล้อยตามเรื่องเล่า หรือปัญหาที่คนอื่นนำมาถ่ายทอดให้ฟัง แนะนำทางที่คิดว่าดีให้เค้า จากนั้นก็ปล่อยไป ช่วยได้เท่าที่ช่วยก็พอค่ะ อย่าถึงขั้นเก็บเอามาคิดจนเครียด การรับช่วงความเครียดต่อจากคนอื่นมันไม่ดีต่อสภาพจิตใจเราเอาซะเลย เลิกด่วนค่ะ!

>> ช่วยเหลือเท่าที่ช่วยได้ แต่อย่าคาดหวังผล <<

ลองสังเกตสิคะว่าคนที่มีปัญหา หรือเจอความทุกข์ มักจะมาบอกให้เราฟังเกี่ยวกับ ความไม่ยุติธรรมของโลกใบนี้ คนพวกนี้จะโทษทุกสิ่ง ไม่โทษตัวเอง เมื่อเราฟังแล้วก็ขอให้ช่วยแนะนำและตักเตือนคนคนนั้นไปค่ะว่า อย่าไปโทษอะไรเลย ให้มองย้อนมาที่ตัวเราและแก้ที่ตัวเราดีที่สุด เราแนะนำให้เค้าได้คิดนะคะ เค้าจะคิดตามหรือไม่ก็ไม่ต้องไปคาดหวังหรอกค่ะ เราทำหน้าที่ของผู้ฟังให้ดีที่สุดเท่านั้นพอ

อย่าลืมว่าคนที่จริงจังกับชีวตมากไปนั้นมักจะไม่ค่อยมีความสุข อีกอย่างการคาดหวังอะไรมากไปก็ทำให้เกิดความทุกข์ได้เหมือนกัน ยิ่งการหวังลมๆ แล้งๆ ด้วยยิ่งแล้วใหญ่ ในที่นี้หมายถึงถ้าเราให้คำแนะนำใครไปแล้ว และคิดหวังให้คนคนนั้นคิดเหมือนที่เราบอก ทั้งๆ ที่ความคิดของเขาสวนทางงกับเราทุกอย่าง นั่นจะทำให้เราได้ความทุกข์มากกว่าสุขค่ะ อย่าใช้เวลามากมายไปกับการซ่อมแซมสิ่งอื่น อย่ามัวแต่เยียวยาคนอื่นจนลืมเยียวยาจิตใจตัวเอง ชีวิตของเราก็มีวันเสื่อมสภาพเราก็ต้องการการซ่อมแซมเช่นกัน ดังนั้น เราแค่รับฟัง ช่วยได้เท่าที่ช่วยก็พอนะคะ อย่าไปหวังว่าเค้าจะต้องทำตามที่เราบอกเลย

>> จำกัดขอบเขตและระยะเวลาที่รับฟังปัญหา <<

อย่างที่บอกว่า เมื่อเรารับฟังปัญหาของคนอื่นเราย่อมแสดงความเข้าใจความรู้สึกของเขาได้ แต่ต้องไม่เป็นไปด้วย ไม่เก็บเอามาคิดจนกลายเป็นเรื่องราวของตัวเอง ฟังแล้วแนะนำแล้วก็จบ เพราะทุกคนมีทางเลือกของตัวเอง สำคัญขณะที่รับฟัง จงรับฟังด้วยหัวใจ นั่นคือการหยุดแล้วรับฟังแบบไม่ตัดสิน ไม่พูดต่อว่าว่า ทำไมทำแบบนั้น ทำไมไม่ทำแบบนี้ ให้เวลาผู้เล่าและดูว่าเขาคนนั้นมีอาการดีขึ้นหรือยัง จากนั้นก็แนะนำให้เขายอมรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ได้

ที่สำคัญควรให้เวลากับปัญหาของคนอื่นแค่พอดี ฟังครั้งที่ 1 รับฟังพร้อมให้คำแนะนำ ฟังครั้งที่ 2 ย้ำในสิ่งที่แนะนำไป เท่านั้นพอค่ะ ถ้าปัญหาเดิมมาอีกในครั้งที่ 3 นั่นแสดงว่า เวลาที่ให้ไปใน 2 ครั้งที่แล้ว เป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ แสดงว่าเขาคนนั้นไม่ได้เอาสิ่งที่เราพูดไปใส่ใจเลย แบบนั้นก็ต้องจำกัดเวลาให้เค้าค่ะ บอกไปเลยว่า เรื่องนี้ไม่เราไม่ขอยุ่ง อาจดูใจร้ายสักนิด แต่เชื่อเถอะค่ะ ว่าจะเป็นการเซฟความเครียดไม่ให้มาเข้าใกล้ตัวเราได้ดีทีเดียว

>> ท่องเอาไว้ว่าเราไม่จำเป็นต้องไปแบกรับปัญหาของใคร <<

หลายคนที่มีปัญหาในชีวิต มีปัญหาจากสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ตัว บางคนมีปัญหาร้อยแปดที่ประดังเข้ามา ตัวเราเองก็มีปัญหาเช่นกันจริงมั้ยคะ แต่ต้องไม่ลืมว่ายังมีหนทางอีกมากมายที่จะช่วยขจัดความทุกข์ให้ออกไปได้ แต่ละคนย่อมมีทางออกของปัญหาของตัวเอง ดังนั้นเราเองไม่จำเป็นต้องไปแบกรับเอาปัญหาของคนอื่นมาไว้กับตัว การรับฟังปัญหาของคนอื่นแบบ "จริงใจ" นั้นทำได้ค่ะ แต่อย่าไป "จริงจัง"

อย่าเอามาทำเหมือนกับว่าเป็นปัญหาของตัวเอง เพราะเราไม่รู้ต้นตอที่แท้จริงของปัญหา เพราะไม่ใช่เรื่องราวของตัวเรา เชื่อเถอะค่ะว่ายิ่งคิดก็ยิ่งตัน ยิ่งคิดก็ยิ่งมืด หยุดคิดไม่ได้ คิดมากก็เกิดเป็นความทุกข์ บางทีคิดมากกว่าเจ้าของปัญหาซะอีก นั่นเป็นเพราะไม่แยกแยะว่าปัญหาของใครคือของใคร การคิดแบบนี้ไม่ใช่เรียกว่การเห็นแก่ตัวนะคะ เพราะตามหลักการใช้ชีวิตจริงๆ แล้ว คนเรามีปัญหากันทั้งนั้น ปัญหาใครคนนั้นก็ต้องแก้ไขเอง เราแค่รับฟัง แนะนำทางเลือกในการแก้ไขก็พอค่ะ ทำแบบนี้ได้ เชื่อเถอะว่าเราจะไม่เครียดกับเรื่องของคนอื่นเลย แล้วเจ้าความเครียดมือสองก็ไม่มีทางได้มากร้ำกรายจิตใจและความคิดของเราได้อย่างแน่นอน

>> พยายามอยู่ให้ไกลคนที่มองโลกในแง่ร้าย <<

ใครเป็นเหมือนกันบ้างคะ เวลาอยู่ใกล้คนที่อารมณ์ดี มีทัศนะคติในการใช้ชีวิตที่ดี เรา จะรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจ ขณะเดียวกันเวลาอยู่ใกล้คนที่มมองโลกในแง่ร้าย มองอะไรก็เอามาเป็นปัญหาไปเสียทุกอย่าง เราอยากจะหนีไปให้ไกลๆ สาเหตุที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะคนที่มองโลกในแง่ดีจะมีพลังด้านบวกส่งออกมาภายนอก ในขณะที่คนที่มีทัศนคติไม่ดีจะส่งพลังด้านลบออกมาสู่คนอื่น ผ่านหน้าตา เรื่องเล่า น้ำเสียง เราก็จะรู้สึกแย่เวลาพูดคุยกับคนพวกนี้

ถึงแม้ว่าเรื่องราวในแง่ลบที่คนมองโลกในแง่ร้ายนำมาถ่ายทอดให้ฟังบางเรื่องจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม แต่การพูดหรือมองทุกอย่างในแง่ลบไปซะทุกอย่างย่อมไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นหรอกค่ะ กลับทำให้แย่ลงด้วยซ้ำ บางครั้งเราอยู่ใกล้คนพวกนี้มากไปพลังลบที่ถ่ายทอดออกมาสู่เราก็ทำให้เราเครียดไปด้วยโดยไม่รู้ตัว แต่หากเราพูดคุยกับคนที่มีความคิดในแง่บวก เราจะได้รับกำลังใจและแง่คิดดีๆ ที่ช่วยให้เรามองโลกได้สดใสขึ้น ฉะนั้น ถ้าเจอคนแง่ลบมากๆ ก็พยายามถอยออกมาให้ห่างเถอะค่ะ ไม่เช่นนั้นคุณจะเป็นคนที่เครียดไปด้วยแบบไม่รู้ตัว

>> เปิดเผยความรู้สึก <<

เมื่อเราได้พบเจอกับเรื่องราวที่ไม่สบายจากคนอื่นที่นำมาเล่าให้ฟังบ่อยๆ เข้า เราอาจกลายเป็นคนซึมเศร้าไปโดยปริยายค่ะ เพราะการที่ต้องฟังเรื่องแบบนี้บ่อยๆ มันบั่นทอนจิตใจ ไม่จรรโลงใจเอาซะเลย บางทีอยากจะหลบหนีคนเหล่านั้นไปไกลๆ แต่ไม่ใช่ว่าเรารังเกียจอะไรเค้าหลอกนะคะ เพียงแค่เรายังไม่อยากฟังเรื่องอะไรที่มันแย่ๆ หรือทำให้ไม่สบายจไปด้วยก็เท่านั้นเอง แต่บางคนก็ไม่กล้าแสดงออกไปให้อีกฝ่ายรู้ว่าเราเบื่อ เราไม่อยากฟังเรื่องแบบนี้อีกแล้ว ก็เลยเก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ไม่บอกออกไปตรงๆ กลัวว่าฝ่ายที่ได้ยินจะเสียใจ ซึ่งการเลือกที่จะปิดบังความรู้สึกนั้นอาจทำให้เราเองนั่นล่ะค่ะที่จะเกิดความเครียด และรู้สึกเก็บกดภายในใจจนอาจนำไปสู่ภาวะเจ็บป่วยทางจิตใจได้แบบไม่รู้ตัว

ปัญหาที่เกิดมันเป็นปัญหาของคนอื่นแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าเราเองในฐานะผู้ฟังต้องมาทุกข์ใจและเครียดแทน แบบนั้นมันก็ไม่แฟร์ใช่มั้ยคะ ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงผลเสียจากการปิดบังความรู้สึกเราจึงควรเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงของงเราให้อีกฝ่ายรู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร ไม่เช่นนั้นแล้วคนที่นำปัญหามาเล่าให้เราฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาจะไม่รู้ตัวเลยว่า ปัญหาของเขามันบั่นทอนจิตใจเราลงไปทุกวันเหมือนกัน บางคนไม่เคยที่จะถามเราสักคำว่าชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง มีปัญหาอะไรมั้ย เจอกันก็เล่าแต่ปัญหาของตัวเอง แบบนี้มันก็น่าอึดอัดนะคะ บอกเค้าไปด้วยถ้อยคำที่สุภาพและมีเหตุผลให้เค้ารู้ว่า เราเองก็มีปัญหาเหมือนกัน ต่อไปคงจะรับฟังเรื่องราวแบบนี้ไม่ได้บ่อยนัก แค่นี้คนฟังก็น่าจะรู้ตัวแล้วล่ะค่ะ อยู่ที่ว่ารู้แล้วเค้าจะปรับปรุงให้มันดีขึ้นมั้ยเท่านั้นเอง แต่ยังไงเสียก็คงต้องพูดให้รู้ไปเลยน่าจะดีกว่า

เราเข้าใจดีค่ะว่าเวลาที่คนเรามีปัญหานั้นการได้พูดคุยระบายความเครียดช่วยทำให้คนเรารู้สึกสบายใจและมีพลังที่จะสู้กับปัญหาได้ต่อไป แต่ทั้งนี้เราเองในฐานะของผู้ฟัง สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดก็คือ การรับฟัง สังเกตอารมณ์และความรู้สึกแล้วค่อยๆ ซับพอร์ตเข้าใจความรู้สึกของคนที่มีปัญหาแล้วมาเล่าให้เราฟัง ถามไถ่ แสดงความห่วงใย ให้เขาได้ระบาย และพูดให้เขายอมรับความรู้สึกนั้นก็เพียงพอแล้วค่ะ ไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องราวหรือปัญหาที่ได้ฟังมาขบคิด จนกลายเป็นความเครียดของตัวเอง ฟังแล้วปล่อยวาง แยกแยะให้ได้ว่ามันไม่ใช่ปัญหาของเรา เราเองก็มีปัญหาของเราที่ต้องแก้อยู่เหมือนกัน อย่าเอา "ความเครียดมือสอง" จากคนอื่น มาเป็นของตัวเองเลยน๊า ชีวิตจะไม่มีความสุขเอาซะเปล่าๆ ลองอ่านเนื้อหาที่เราเอามาฝากแล้วลองคิดตาม ลองเอาไปทำดูก็ได้ค่ะ รับรองว่าไม่เสียหายอะไร!!


วาไรตี้

เครื่องสำอาง แม่และเด็ก คลินิก สุขภาพ สกินแคร์ แต่งหน้า ทรงผม ทำเล็บ แฟชั่น ความรัก ดูดวง วาไรตี้ ลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย คติสอนใจ ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร ร้านคาเฟ่