วิธีแก้อาการ "เมาค้าง" หรือ "แฮงค์" อย่างถูกวิธี

อ่าน 11,944

วันนี้เรามี 7 วิธีลดอาการ "เมาค้าง" หรือ "แฮงค์" มาให้เพื่อนๆกันช่วงปีใหม่นี้ เรามาดูกันว่ามีวิธีไหนกันบ้าง

1.อย่าคิดที่จะ "ดื่มเพื่อถอน"

นึกถึงเพลงดังบ้านเรากันไหมคะ "จั่งซี้มันต้องถอน" ที่พูดถึงวิธีการแก้เมาค้างด้วยการดื่มเพิ่มเข้าไปอีกแก้วสองแก้ว วิธีนี้ต่างชาติเขาก็มีนะ แต่จะบอกว่าเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องนัก ฝรั่งมีสำนวนที่เรียกการดื่มเพื่อถอนฤทธิ์แอลกอฮอล์ว่า "Hair of the dog" ที่หมายถึงการไปดึงขนสุนัขที่เข้ามากัดเรา หากเราดึงขนมันไปเรื่อยๆ มันก็จะหันไปสนใจขนของมันมากกว่าที่จะเข้ามากัดเราไปเรื่อยๆ เหมือนเราดื่มไปเรื่อยๆ จนระดับแอลกอฮอล์ในเลือดไม่เคยลดลง แต่สุดท้ายแล้วหากเราหยุดดื่ม ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ก็มาทำให้เราเมาค้างได้อยู่ดี เหมือนเมื่อไรก็ตามที่เราหยุดถอนขนสุนัข สุนัขก็จะเข้ามาแว้งกัดเราได้อยู่วันยังค่ำ ดังนั้น วิธีนี้จึงไม่เหมาะสม และไม่แนะนำให้ทำโดยเด็ดขาด

2.ดื่มเครื่องดื่มอื่นๆ

หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ แต่ควรหันไปดื่มเครื่องดื่มอื่นๆ ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ เพราะแอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายของเราขาดน้ำ (บวกกับที่ทำให้เราปัสสาวะบ่อยๆ) ยิ่งใครที่มีอาการท้องเสีย หรือคลื่นไส้อาเจียน ยิ่งต้องควรดื่มน้ำ สามารถดื่มเพียง 1-2 แก้วเพื่อเพิ่มความสดชื่น เพิ่มน้ำให้กับร่างกาย

3.กินคาร์โบไฮเดรต

การดื่มแอลกอฮอล์อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง อาการปวดศีรษะ หรืออ่อนเพลียอาจมาจากการที่สมองทำงานโดยมีพลังงานจากน้ำตาลไม่มากพอ ดังนั้นการทานคาร์โบไฮเดรตเพิ่มเข้าไปในร่างกายจะช่วยลดอาการเมาค้างได้ นอกจากนี้นักดื่มหลายคนมักลืมที่จะทานอาหารให้เพียงพอ สนใจแต่การดื่มแอลกอฮอล์ ดังนั้นการทานคาร์โบไฮเดรตเป็นการเริ่มให้ร่างกายได้รับพลังงานในการใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง

4.หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแองกอฮอล์สีเข้ม

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีสีอ่อน หรือไม่มีสี เช่น วอดก้า หรือเหล้าจิน ทำให้เกิดอาการเมาค้างได้น้อยว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีสีเข้มๆ เช่น ไวน์  วิสกี้ หรือเตกีล่า แอลกอฮอล์ในเครื่องดื่มจะมาในรูปแบบของเอธานอล แต่เครื่องดื่มที่มีสีเข้มจะมีส่วนผสมทางเคมีอื่นๆ เพิ่มเข้าไปด้วย รวมถึงเมธานอล ซึ่งทำปฏิกิริยากับร่างกายได้รุนแรงกว่า

5.กินยาแก้ปวด แต่ไม่ใช่พาราเซตามอล

หากมีอาการปวดศีรษะ สามารถทานยาแก้ปวดได้ โดยแนะนำให้เลือกทานยาตระกูลแอสไพริน ไอบูเฟน และยา NSAIDs อื่นๆ แต่ควรทานยาหลังทานอาหารเพราะอาจทำให้กระเพาะอาหาร (ที่แอลกอฮอล์เข้าไปทำให้ระคายเคืองอยู่แล้ว) ยิ่งระคายเคืองหนักไปกว่าเดิม นอกจากนี้อย่าเลือกทานยาแก้ปวดประเภทพาราเซตามอล หรืออะเซตามีโนเฟน เพราะอาจเข้าไปทำปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์ที่ตกค้างอยู่ในร่างกาย จนกลายเป็นพิษต่อตับได้

6.ดื่มชา หรือกาแฟ

แม้ว่าคาเฟอีนจะไม่ไดมีฤทธิ์ในการเยียวยาร่างกายจากอาการเมาค้างโดยตรง แต่อาจช่วยลดอาการมึนงง วิงเวียนศีรษะจากอาการแฮงค์ได้บ้าง แต่อย่าลืมดื่มน้ำเปล่าด้วย เพราะกาแฟอาจทำให้คุณปัสสาวะมากขึ้น (ในขณะที่ตอนดื่ม แอลกอฮอล์ก็ทำให้คุณปัสสาวะบ่อยมากกว่าเดิมอยู่แล้ว)

7.วิตามินบี 6

จากการศึกษาเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้วรายงานว่า คนที่ดื่มแอลกอฮอล์จะมีอาการเมาค้างน้อยลง หากก่อนดื่ม ระหว่างดื่ม และหลังดื่ม (ก่อนที่จะเมา) ได้ทานวิตามินบี 6 ราวๆ 1,200 มิลลิกรัม แม้ว่าจะเป็นเพียงรายงานสั้นๆ และไม่ได้มีการตีพิมพ์ซ้ำ แต่ใครจะลองวิธีนี้ก็ไม่เสียหายอะไร

อย่างไรก็ตาม หากให้แพทย์แนะนำโดยตรงแล้ว คงจะแนะนำให้งดการดื่มแอลกอฮอล์เสียมากกว่า เพราะการดื่มแอลกอฮอล์นอกจากจะทำร้ายร่างกายช้าๆ อย่างไม่รู้ตัว และเป็นสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บอันตรายมากมายแล้ว ยังเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของอุบัติเหตุ และอาชญากรรมอีกด้วย แต่หากจำเป็นต้องดื่ม ขอให้ดื่มอย่างระมัดระวัง ดื่มอย่างมีสติ คิดถึงตัวเอง คิดถึงคนที่คุณรักเอาไว้ รู้ขอบเขตของตัวเองว่าเท่าไรควรพอ ให้เพื่อนช่วยดูแลยามเมาไม่มีสติ และที่สำคัญที่สุดคือ เมาแล้วต้องไม่ขับเด็ดขาด


วาไรตี้

เครื่องสำอาง แม่และเด็ก คลินิก สุขภาพ สกินแคร์ แต่งหน้า ทรงผม ทำเล็บ แฟชั่น ความรัก ดูดวง วาไรตี้ ลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย คติสอนใจ ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร ร้านคาเฟ่